วัถุประสงค์ของสมาคม

(True Enlightenment Practitioners Association – TEPA)

พุทธสมาคมร่วมบำเพ็ญสัมมาโพธิญาณคือองค์การที่ประกอบด้วยคณะสงฆ์โพธิสัตว์มหายานและเหล่านักเรียนธรรมะทั้งหลายที่มีท่านธรรมจารย์เซียวผิงสือเป็นผู้นำ สมาคมเราได้เริ่มการสอนธรรมะอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี1997 เราเผยแผ่พระธรรมที่ยึดถือตถาคตครรภ์เป็นหัวใจ มุ่งหวังให้ผู้บำเพ็ญได้บรรลุธรรมทั้งสามยานแห่งพระพุทธศาสนา ( คือ สาวกยาน ปัจเจกยาน และโพธิสัตวยาน ) พระธรรมนี้ได้จัดตั้งขึ้นโดยพระโพธิสัตว์เสวียนจั้ง ( ถังซัมจั๋ง ) ซึ่งมีการประสานวัฒนะธรรมของประเทศจีนเข้ามาอยู่ด้วย

สมาคมร่วมบำเพ็ญสัมมาโพธิญาณประกอบด้วยธรรมจารย์ผิงสือและครูสอนธรรมะหลายสิบท่าน ท่านทั้งหลายล้วนเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้ซึ่งยึดถือสัมมาธรรมเป็นหลักเกรฑ์ในการเผยแผ่พระธรรมและโปรดสรรพสัตว์ด้วยความวิริยะอุตสาหะมาเป็นเวลากว่า20ปีแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณลักษณะแห่งสำนักที่วิสุทธิ์แต่ดูธรรมดา ในหลักสูตรการสอนพระธรรมจะมีการใช้ธรรมทวาร ( อุบายวิธีในการปฎิบัติธรรม ) “ สวดพระนามแบบไร้รูป ” เป็นอุบาย ซึ่งสามารถพัฒนาให้เกิดทักษะในการ “ คั่นฮ้วาโถ ” ได้ในภายหลัง กล่าวคือ “ คั่นฮ้วาโถ ” นั้นเป็นวิธีที่ใช้ในการไขโกอันของนิกายเซน มันสามารถทำให้บรรลุธรรมแบบฉับพลันในนิกายเซนแห่งมหายานในจีนได้ การบรรลุธรรมนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการพิสูจน์ปรมัตถสัจแห่งพุทธธรรม ผู้บรรลุยังต้องหมั่นบำเพ็ญโพธิสัตวมรรคต่อไปเรื่อยๆโดยไม่หยุดยั้งเพื่อไต่เต้าไปยังชั้นภูมิที่สูงกว่า ในขณะเดียวกันท่านจะกลายเป็นพระโพธิสัตว์ผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นตัวแทนและผู้สืบทอดของนิกายเซนในวัฒนธรรมจีนได้อย่างแท้จริง


สิ่งพิมพ์ในภาษาไทย


พระสูตรหฤทัยกล่าวถึงอะไร?

心經在說甚麼

โดย อาจารย์ผิงซื่อ

蕭平實導師

 

พระสูตรหฤทัยกล่าวถึงอะไร? ในตอนที่หนึ่งนี้ เราจะเริ่มด้วยการอธิบายจิตของสรรพสัตว์ที่กล่าวไว้ในพระสูตรหฤทัย หลายคนเข้าใจว่า “พระสูตรหฤทัยพูดถึงจิตแท้ (จิตที่แปดหรือตถาคตครรภ์)” แต่พวกเขาไม่ได้สังเกตว่า: พระสูตรหฤทัยยังกล่าวถึงจิตลวง (เจ็ดวิญญาณที่เกิดจากจิตแท้ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และมนัส) ของสรรพสัตว์ด้วย พระสูตรหฤทัยครอบคลุมหลักธรรมทั้งหมด ไม่เพียงแต่กล่าวถึงจิตแท้ จิตลักษณะแท้ แต่ยังกล่าวถึงจิตลวง (จิตมายา) ของสรรพสัตว์ด้วย สัตว์โลกทั้งหมดในโลกมนุษย์ ล้วนมีทั้งจิตแท้และจิตลวง (วิญญาณทั้ง 7 ที่รวมถึงมนัส) ไม่ใช่มีเพียงจิตแท้ หรือมีเพียงจิตจิตลวง (จิตมายา) ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า: สรรพสัตว์ในโลกมนุษย์ล้วนมีจิตแท้และจิตลวง จิตทั้งสองประเภทนี้จะดำรงอยู่ร่วมกันและทำงานไปพร้อมกัน ผู้ที่ไม่เข้าใจสภาวะแห่งลักษณะแท้อาจกล่าวว่า: “จิตมีเพียงหนึ่งเดียว! จะมีสองได้อย่างไร?” ผู้ที่ไม่เข้าใจมักคิดว่า: จิตที่รับรู้ (จิตรับรู้อารมณ์ทั้ง 6) ที่สามารถเห็น ได้ยิน รู้สึก รับรู้นี้คือจิตแท้ เพราะนอกจากจิตนี้แล้ว ก็ไม่มีจิตอื่นใดที่สามารถค้นพบได้อีก! ดังนั้นสรรพสัตว์จึงมักเชื่อว่าจิตที่รับรู้ เห็น ได้ยิน รู้สึก ของตนคือจิตแท้!

 

ละสังโยชน์ 3 ด้วยการสังเกตและพิจารณา - การบรรลุโสดาปัตติผล

觀行斷三縛結

ธรรมาจารย์เซียวผิงสือ

蕭平實導師

 

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้บำเพ็ญคนไหนได้บรรลุโสดาปัตติผลหรือไม่ล่ะ คำตอบคือ เราพึงตัดสินจากผู้นั้นได้ละสักกายทิฎฐิและสังโยชน์ 3 หรือไม่ ไม่ควรตัดสินด้วยคำเล่าลือที่ว่า “ เวลาพระโสดาบันไถนา แมลงต่างๆ จะห่างจากตัวท่านเป็นระยะสี่นิ้ว” เพราะฉะนั้น ถ้าอยากรู้ว่าพุทธสาวกผู้ใดได้บรรลุอรหัตผลหรือไม่ พึงตัดสินจากผู้นั้นได้ละสังโยชน์เบื้องสูง 5 ข้อหรือไม่!

 

วิธีการบำเพ็ญเพื่อให้บรรลุโมกขธรรม

 

ธรรมาจารย์เซียวผิงสือ

蕭平實導師

 

ในวงการพระพุทธศาสนาปัจจุบัน ได้มีการเข้าใจผิดในพระธรรมอย่างแพร่หลาย ธรรมาจารย์ผิงสือ ผู้ได้พิสูจน์ประจักษประมาณของ " พีชญาณแห่งโพธิมรรค " ได้เป็นผู้นำคณะอริยสงฆ์โพธิสัตว์แห่ง " สมาคมร่วมบำเพ็ญสัมมาโพธิ " ซึ่งเป็นองค์การที่เผยแผ่ " สองวิถีหลัก " แห่งพุทธธรรม คือโมกขธรรม ( อรหัตมรรค ) และพุทธมรรค (โพธิสัตวมรรค ) เพื่อให้ชาวโลกสามารถเข้าใจในหลักธรรมและระดับชั้นในการบรรลุธรรมแห่งพุทธศาสนาได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าและหายากในวงการพุทธศาสนาพุทธปัจจุบัน การบรรลุผลแห่ง " โมกขธรรม " มีสี่ระดับด้วยกันคือ: โสดาปัตติผล สกิทาคามิผล อนาคามิผล และอรหัตผล โดยอาศัยการละสักกายทิฏฐิเป็นพื้นฐาน แล้วค่อยๆละอุปกิเลสในขั้นต่อไป ส่วน "พุทธมรรค" นั้นจะอาศัยการ " รู้แจ้งโพธิจิต " เป็นพื้นฐานแล้วมุ่งบำเพ็ญ " บุญกุศลและปัญญาให้สมบูรณ์เพื่อสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


จิตแปดดวงที่วิเศษ

 

八個奇妙的心

แปดดวงจิตที ่วิเศษ

 

คนเรามีจิต(วิญญาณ)กี่ดวงกันแน่? สำหรับปัญหานี้ นักจิตวิทยา นักประสาทวิทยา และนักปรัชญา ต่างคนต่างก็มีคำตอบที่ไม่เหมือนกัน

พวกเขาจำแนกจิตของมนุษย์ตามคุณสมบัติที่ต่างกันหรือตามส่วนต่างๆที่ไม่เหมือนกัน แล้วคุณอยากรู้ไหมว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสใว้ว่าอย่างไร?